ความรักของแม่ "พระสารีบุตร" "ผู้เป็นบุตรพึงตอบแทนคุณบิดามารดาโดยแท้จริง"
ความรักของแม่ที่ปรากฎในพระพุทธศาสนา
อันว่าความรักของแม่มีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ สามารถบันดาลคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ผู้เป็นแม่และลูกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่น
เรื่องราวของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งการเข้าไปบวชในพระพุทธศาสนา ยังความไม่พอใจให้แก่มารดาของท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะมารดาของท่านยังยึดติดอยู่ในลัทธิพราหมณ์ดั้งเดิม และเห็นว่าการที่พระสารีบุตรเปลี่ยนไปนับถือพระพุทธศาสนา เป็นความผิดอย่างมากจนมารดาของท่านรับไม่ได้
พระสารีบุตร เป็นผู้ที่มีกิตติศัพท์ว่าเป็นพระอัครสาวกที่มีปัญญายอดเยี่ยม และมีความกตัญญูเป็นเลิศ ท่านได้แสดงธรรมโปรดมารดาหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดมา จนเมื่อท่านใกล้จะนิพพาน จึงกลับบ้านเกิด แล้วบอกแก่โยมมารดาว่า ท่านจะนิพพานภายในเจ็ดวันนี้แล้ว ขอนิพพานภายในห้องที่ท่านเกิด
โยมมารดาพอได้ยินพระลูกชายพูดถึงการนิพพาน (ตาย) ความรักความห่วงหาอาลัยประดังท่วมท้นใจ มานะทิฐิที่เคยมีต่อลูกก็ค่อยๆหายไป จนกลายมาเป็นความอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งในอดีตที่เคยมีแก่พระลูกชาย พระสารีบุตรเห็นว่าโยมมารดามีอุปนิสัยในธรรมะ จึงได้แสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ และท้ายที่สุดกล่าวถึงพระพุทธเจ้า พอจบคำว่า "พุทโธ ภควาติ" เท่านั้น มารดาของท่านก็บรรลุเป็นพระโสดาบันในทันที
นี่เป็นเพราะอานุภาพความรักของแม่เป็นเครื่องดลใจให้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ "แม่" เองและเป็นการเปิดโอกาสให้พระสารีบุตรได้ตอบแทนพระคุณโยมมารดาได้สำเร็จ เพราะไม่ว่าลูกจะเลี้ยงดูมารดาบิดาดีมากเพียงไร ก็ไม่นับว่าทดแทนพระคุณได้ทั้งหมด แต่ลูกที่ทำให้มารดาบิดามีศีลมีศรัทธา ตั้งมั่นอยู่ในธรรม จึงจะชื่อว่าป็นการทดแทนพระคุณอย่างแท้จริง และโยมมารดาของพระสารีบุตรก็ปลื้มปิติเป็นนิตย์ เพราะได้ชื่อว่า "เป็นแม่ของพระอัครสาวก" ซึ่งเป็นฐานะที่น้อยคนจะได้รับ
การตอบแทนพระคุณบิดามารดา พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่าแม้นำท่านไว้บนบ่าทั้งสองข้าง ให้ถ่ายรดป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่านเป็น100ปี หรือจนหมดลมยังไม่ประเสริฐเท่า ชวนให้ท่านทำทาน
รักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนา
แนะนำให้ท่านที่ยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้ดำรงค์ตนในทานศีลสมาธิ
อันว่าความรักของแม่มีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ สามารถบันดาลคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ผู้เป็นแม่และลูกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่น
เรื่องราวของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งการเข้าไปบวชในพระพุทธศาสนา ยังความไม่พอใจให้แก่มารดาของท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะมารดาของท่านยังยึดติดอยู่ในลัทธิพราหมณ์ดั้งเดิม และเห็นว่าการที่พระสารีบุตรเปลี่ยนไปนับถือพระพุทธศาสนา เป็นความผิดอย่างมากจนมารดาของท่านรับไม่ได้
แม่กับเรื่องราวของพระสารีบุตร
พระสารีบุตร เป็นผู้ที่มีกิตติศัพท์ว่าเป็นพระอัครสาวกที่มีปัญญายอดเยี่ยม และมีความกตัญญูเป็นเลิศ ท่านได้แสดงธรรมโปรดมารดาหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดมา จนเมื่อท่านใกล้จะนิพพาน จึงกลับบ้านเกิด แล้วบอกแก่โยมมารดาว่า ท่านจะนิพพานภายในเจ็ดวันนี้แล้ว ขอนิพพานภายในห้องที่ท่านเกิด
โยมมารดาพอได้ยินพระลูกชายพูดถึงการนิพพาน (ตาย) ความรักความห่วงหาอาลัยประดังท่วมท้นใจ มานะทิฐิที่เคยมีต่อลูกก็ค่อยๆหายไป จนกลายมาเป็นความอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งในอดีตที่เคยมีแก่พระลูกชาย พระสารีบุตรเห็นว่าโยมมารดามีอุปนิสัยในธรรมะ จึงได้แสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ และท้ายที่สุดกล่าวถึงพระพุทธเจ้า พอจบคำว่า "พุทโธ ภควาติ" เท่านั้น มารดาของท่านก็บรรลุเป็นพระโสดาบันในทันที
นี่เป็นเพราะอานุภาพความรักของแม่เป็นเครื่องดลใจให้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ "แม่" เองและเป็นการเปิดโอกาสให้พระสารีบุตรได้ตอบแทนพระคุณโยมมารดาได้สำเร็จ เพราะไม่ว่าลูกจะเลี้ยงดูมารดาบิดาดีมากเพียงไร ก็ไม่นับว่าทดแทนพระคุณได้ทั้งหมด แต่ลูกที่ทำให้มารดาบิดามีศีลมีศรัทธา ตั้งมั่นอยู่ในธรรม จึงจะชื่อว่าป็นการทดแทนพระคุณอย่างแท้จริง และโยมมารดาของพระสารีบุตรก็ปลื้มปิติเป็นนิตย์ เพราะได้ชื่อว่า "เป็นแม่ของพระอัครสาวก" ซึ่งเป็นฐานะที่น้อยคนจะได้รับ
การตอบแทนพระคุณบิดามารดา พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่าแม้นำท่านไว้บนบ่าทั้งสองข้าง ให้ถ่ายรดป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่านเป็น100ปี หรือจนหมดลมยังไม่ประเสริฐเท่า ชวนให้ท่านทำทาน
รักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนา
ทำทาน
รักษาศีล
![]() |
เจริญสมาธิภาวนา |
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่ายังไงกัน
โดยสรุปก็คือถึงแม้เราจะตอบแทนพ่อแม่โดยแท้จริง นั้นก็คือสอนให้บิดามารดานั้นมีพร้อมด้วย ศรัทธา ศีล บริจาค และปัญญา ถ้าเรารู้ว่าบิดามารดาเราขาดสิ่งใดไปเราก็บอกกล่าวเพิ่มเติมด้วยสิ่งนั้นๆให้แก่บิดามารดาของตนเอง ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ละ?
โดยสรุปก็คือถึงแม้เราจะตอบแทนพ่อแม่โดยแท้จริง นั้นก็คือสอนให้บิดามารดานั้นมีพร้อมด้วย ศรัทธา ศีล บริจาค และปัญญา ถ้าเรารู้ว่าบิดามารดาเราขาดสิ่งใดไปเราก็บอกกล่าวเพิ่มเติมด้วยสิ่งนั้นๆให้แก่บิดามารดาของตนเอง ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ละ?
เพราะพุทธเจ้าทรงได้มองแล้วว่า
กรรมสุดท้ายก็คือ การตาย ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือกันได้ เราตายแทนบิดามารดาไม่ได้ บิดามารดาตายแทนเราไม่ได้ ฉะนั้นเราจะต้องสอนให้ท่านรู้จักช่วยตัวเองและสร้างบารมีขึ้นมาเอง เอวังก็มีประการฉะนี้แลล
กรรมสุดท้ายก็คือ การตาย ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือกันได้ เราตายแทนบิดามารดาไม่ได้ บิดามารดาตายแทนเราไม่ได้ ฉะนั้นเราจะต้องสอนให้ท่านรู้จักช่วยตัวเองและสร้างบารมีขึ้นมาเอง เอวังก็มีประการฉะนี้แลล
สาธุ ขอความประเสริฐจงมีแก่บุตรที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา
บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามหาศาล ถึงแม้ัท่านไม่ได้เลี้ยงดูเราแต่ด้วยเพราะเหตุบางประการ แต่ขึ้นชื่อว่าท่านได้ให้กายเนื้อเราให้เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็ถือว่าท่านมีพระคุณต่อเรามาก เราควรหาโอกาสตอบแทนพระคุณท่านให้มากที่สุด และพึงระวังเสมอว่าห้ามก่อวิบากกรรมกับท่านเด็ดขาดเพราะ ผลกรรมถึงขนาดปิดสวรรค์และพระนิพพาน น่ากลัว มากๆทีเดียว
ReplyDelete